วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เกี่ยวกับงาน

รวบรวมงานที่อาจารย์สั่ง


                             งานแรก

งานออกแบบประกาศรับสมัครงาน


ป้ายหาเสียง

งานออกแบบหน้าปกหนังสือ




งานวีดีโอ หนังสั้น http://www.youtube.com/watch?v=00pUVb1HahM

งานแบบสอบถาม https://docs.google.com/forms/d/1TgdAm6wE79ugClYlZC9Mwn6sgV6UGoD6XrCnvQpmKew/viewform

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ระบบปฏิบัติการและการใช้งาน

ระบบปฏิบัติการและการใช้งาน

 จากตารางความรู้เรื่องระบบปฏิบัติการที่ผ่านมาทำให้ทราบความหมาย  ลักษณะการทำงาน  รวมไปถึงหน้าที่ของระบบปฏิบัติการไปแล้ว  ในบทนี้จะศึกษาเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการ  Windows xp ซึ่งเราจะได้เรียนรู้ในส่วนที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับส่วนประกอบ  คุณสมบัติต่าง ๆ รวมไปถึงวิธีการจัดการข้อมูลโดยระบบปฏิบัติการ  Window xp  นี้ ส่วนประกอบของระบบปฏิบัติการ  Windows xp

                        รูป Destop
Desktop  (เดสก์ท็อป)       

     เมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์  ระบบปฏิบัติการ  Windows'98  ก็จะเปิดขึ้นมาให้เราโดยระบบปฏิบัติการจะเตรียมสิ่งต่าง ๆ เพื่อใช้งาน  เมื่อทุกอย่างเสร็จแล้วก็จะมีหน้าจอปรากฏให้เห็น  เปรียบเสมือนกับบนตะทำงานของเราที่มีอุปกรณ์การทำงานต่าง ๆ  อยู่บนโต๊ะและพร้อมที่จะใช้งานได้

 ส่วนประกอบของเดสก์ท็อป        

  1. ไอคอน  (Icon)  คือ  สัญลักษณ์รูปภาพที่มีคุณสมบัติในการเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น  เรียกใช้โปรแกรม  เรียกดูข้อมูล  เป็นต้น        

  2. ทาสก์บาร์  (taskbar) คือ  แถบแนวนอนที่อยู่ด้านล่างสุดของหน้าจอ  มีหน้าที่แสดงสถานะการใช้งานต่าง ๆ รวมไปถึงมีปุ่มเครื่องมือที่สามารถเรียกใช้งานบางอย่างได้  ปุ่มเครื่องมือต่าง ๆ เหล่านั้น  เช่น     

  2.1 ปุ่มควบคุ่มเสียง  (Volume  Control)  ใช้สำหรับปรับระดับความดังของเสียง    ในกรณีที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นมีระบบมัลติมีเดีย  หรือมีลำโพงต่อใช้งานรวมอยู่ด้วย      2.2 แถบเครื่องมือ  Quick  Lunch  เป็นแถบเครื่องมือที่สามารถเข้าถึงโปรแกรม       อินเตอร์เน็ตได้ง่ายขึ้นจากเดสก์ท็อป                                    2.3 นาฬิกาเป็นตัวบอกเวลาปัจจุบันของเครื่อง                            2.4  ปุ่มสตาร์ต  (Start)  ใช้เมื่อเริ่มต้นทำงาน กล่าวคือ ที่ปุ่มสตาร์ตจะมีคำสั่งย่อย ๆ ต่าง ๆ ที่จะสามารถเรียกใช้งานโปรแกรม  รวมไปถึงการใช้คำสั่งควบคุมการทำงานของเครื่องนั้น ๆ ด้วย 

 คุณสมบัติของหน้าต่าง (Window)

                รูปแสดงส่วนประกอบของหน้าต่าง Window 


          หน้าต่าง (Window)  ในโปรแกรมวินโดว์  คือคุณสมบัติตัวหนึ่งของโปรแกรมวินโดว์  กล่าวคือ  เป็นมุมมองที่ทำให้เรามองให้การสภาวะทำงานในขณะที่ใช้งานอยู่เปรียบเสมือนกับการอ่านหนังสือ  ถ้าอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ก็จะเปิดหน้าต่างหนึ่งหน้าต่างในโปรแกรม  ถ้าอ่านหลายเล่มก็จะเปิดหน้าต่างหลาย ๆ หน้าต่างขึ้น  แต่เราสามารถทำงานได้กับหน้าต่างที่เปิดขึ้นที่ละหน้าเท่านั้น  เหมือนกับการที่เรามุ่งความสนใจไปที่หนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งนั่นเอง


คุณสมบัติที่ควรรู้จัก           

1. แถบชื่อ (Title Bar) แสดงชื่อหน้าต่างที่เปิดขึ้นมา กรณีเรียกใช้โปรแกรมก็จะแสดงชื่อโปรแกรมนั้น ๆ   

2. แถบเมนู (Menu Bar) แสดงชื่อเมนูหลักต่าง ๆ สามารถใช้เมาส์คลิกเลือกเมนูที่ต้องการเพื่อเลือกคำสั่งที่ต้องการใช้   

3. แถบเครื่องมือ (Tools Bar) แสดงปุ่มคำสั่งต่าง ๆ ที่ต้องการใช้งานสามารถใช้เมาส์คลิกเลือกเพื่อใช้งานได้ตามต้องการ                                      

4. แถบเลื่อนในแนวตั้ง (Vertical Scroll Bar) ใช้สำหรับเลื่อนข้อมูลในแนวตั้งแถบเลื่อนนี้จะปรากฏขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติเมื่อข้อมูลในหน้าต่างนั้นแสดงให้เห็นไม่หมดตามแนวตั้ง                                                              

5. แถบเลื่อนในแนวนอน  (Horizontal  Scroll Bar)  ใช้สำหรับเลื่อนข้อมูลในแนวนอน  แถบเลื่อนนี้จะปรากฏขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติเมื่อข้อมูลในหน้าต่างนั้นแสดงให้เห็นไม่หมดตามแนวนอน                                                  

 6. แถบสถานะ  (Status  Bar)  แสดงรายละเอียดข้อมูลในหน้าต่างนั้น ๆ ข้อมูลที่แสดงอาจจะเป็นข้อมูลทั้งหมดหรือข้อมูลที่เราเลือก (โดยการคลิกเมาส์ไปที่ไอคอนใด ๆ ในหน้าต่าง) นอกจากนั้นแล้วยังแสดงพื้นที่ว่างในส่วนเก็บข้อมูลเพื่อให้ผู้ใช้รู้ว่ายังมีพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูล  (Free  Space) เหลืออีกเท่าไร                              

7. ปุ่มย่อหน้าต่าง (Minimize) ใช้ย่อหน้าจ่างลงให้เล็กที่สุดในขณะที่ยังไม่ต้องการใช้ชั่วคราว หัวต่างนั้น ๆ จะถูย่อให้เล็กลงเก็บไว้ที่ทาสก์บาร์ด้านล่าง


การใช้คำสั่งจากแถบเมนู

          ในหน้าต่างหรือโปรแกรมใด ๆ  ที่เปิดขึ้นมา  เรามักจะเห็นแถบเมนูปรากฏขึ้นมาเสมอ  วิธีการเรียกใช้สามารถใช้ได้โดยวิธีใช้เมาส์คลิกไปที่ชื่อเมนูใด ๆ  ที่ต้องการ  จะปรากฏคำำสั่งต่าง ๆ ขึ้นมา  สิ่งที่ปรากฏขึ้นมานั้นเรียกว่า  ดรอปดาวน์เมนู  (Drop Down  Menu)  ถ้าต้องการใช้คำสั่งไหนก็ใช้เมาส์คลิกเลือกที่คำำสั่งนั้นได้เลย

การยกเลิกการเลือกใช้คำำสั่งทำำได้โดยคลิกเมาส์ไปที่พื้นที่วางนอกเมนูหรือจะกดคีย์Esc  ก็ได้
รูปการเรียกใช้คำสั่งจากเมนู File บนแถบเมนู

ลักษณะของคำำสั่งที่อยู่บนแถบเมนู

          1. กลุ่มคำำสั่ง คือ คำำสั่งที่มีการปฏิบัติงานเหมือนกัน และเกี่ยวข้องกันจะถูกจัดแบ่งร่วมกันไว้และมีเส้นแบ่งไว้อย่างชัดเจน
          2. เมนูย่อย  คำำสั่งบางคำสั่งที่มีเครื่องหมายื สามเหลี่ยม ปรากฏที่ท้ายคำำสั่ง  แสดงถึงคำสั่งนั้น ๆ มีเมนูย่อยลงไปอีกซึ่งสามารถใช้เมาส์ควบคุมการใช้ได้เหมือนกัน
          3. คีย์ลัด คำำสั่งหลายคำสั่งจะมีคีย์ที่ใช้เรียกคำสั่งนั้น ๆ  ปรากฏอยู่ถัดไปทางขวาของคำำสั่งนั้น  ซึ่งสามารถจะเรียกใช้คำำสั่งได้โดยการกดคีย์ตัวอักษรที่ปรากฏนั้น
          4. คำำสั่งที่ไม่สามารถทำงานได้  คำสั่งประเภทนี้จะทำงานเป็นสีเทา  หมายถึงคำำสั่งนั้นยังไม่สามารถใช้งานได้ในขณะนั้น
          5. ไดอะลอกบ็อกซ์ คำำสั่งประเภทนี้จะมีจุดสามาจุดต่อท้าย (...)  การใช้งานจะต้องมีการกำำหนดข้อมูลเพิ่มเติมให้กับคำำสั่งนั้นในหน้าต่างที่ปรากฏขึ้นมา ซึ่งเรียกว่า    "ไดอะลอกบ็อกซ์"
          6. คำำสั่งแบบเปิด / ปิด  คำำสั่งประเภทนี้จะมีเครื่องหมาย (ถูก)  อยู่หน้าคำำสั่ง หมายถึง สามารถที่จะเปิด/ปิด  (on/off)  คำำสั่งนั้น ๆ สลับไปมาได้ 

รู้จัก My Computer
         ไอคอน My Computer ที่ปรากฏบนเดสก์ท็อปนั้นเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่ควรรู้จักด้วยเหตุผลคือไอคอน My Computer จะเป็นเครื่องมือที่ใช้นากรจัดการข้อมูลต่าง ๆ  ในคอมพิวเตอร์ เช่น การค้นหาแฟ้มข้อมูลการคัดลอก (Copy) การลบ (Delete) การย้าย (Move) เป็นต้น (ในระบบปฏิบัติการ Window เราสามารถจัดการข้อมูลต่าง ๆ ได้หลายที่)
              รูปข้อมูลใน My Computer
   ไอคอนต่าง    ใน  My  Computer  ที่ควรรู้จัก  ในที่นี้จะกล่าวถึงไอคอนที่ควรรู้จักกันก่อนดังต่อไปนี้
3.5 Floppy (A:) เป็นไอคอนของแหล่งเก็บข้อมูลแผ่นดิสเกตต์โดยทั่วไปจะกำหนดให้เป็นไดรฟ์ (A:) และ (B:)
(C:) เป็นแหล่งเก็บข้อมูลบนแผ่นจานแม่เหล็กแข็ง  (ฮาร์ดดิสก์)  โดยทั่วไปจะถูกกำหนดให้เป็นไดรฟ์ (C:) , (D:)
(F:) เป็นแหล่งเก็บข้อมูลบนแผ่นซีดี-รอม (CD-ROM) โดยทั่วไปจะถูกกำหนดให้เป็นไดรฟ์ (F:)

    ปุ่มเครื่องมือใน My Computer
         กลุ่มของปุ่มเครื่องมือต่าง ๆ ที่อยู่บน My Computer จะเป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการทำงานต่าง ๆ แทนคำสั่งบางคำสั่งบนเมนูบาร์ การใช้ปุ่มเครื่องมือสามารถใช้เมาส์คลิกเลือกทำงานได้ทันที สามารถควบคุมให้แสดงปุ่มเครื่องมือได้ เลือกคำสั่ง Tools Bar จากเมนู View
         ปุ่มเครื่องมือที่น่าสนใจได้แก่
                Cut  
                Copy   
                Paste   
                Undo 
                Delete
                    Properties 
                 View




ที่มา หนังสือคอมพิวเตอร์ เพื่องานอาชีพ 2001-0001 สำำนักพิมพ์สกายบุ๊กส์ จำำกัด


ระบบควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์

ระบบควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์

ความหมายของระบบปฏิบัติการ (Operating System) หรือโปรแกรมจัดระบบ


   โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Operating System : OS) หมายถึง โปรแกรม ที่ทำหน้าที่ในการจัดการระบบ เพื่อติดต่อระหว่าง ฮาร์ดแวร์กับกับซอฟต์แวร์ ประเภทต่าง ๆ ให้สะดวกมากขึ้น เปรียบเสมือนเป็นตัวกลาง คอยจัดการระบบคอมพิวเตอร์ ระหว่างโปรแกรมกับฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ สอบ และค้นหา ไดรเวอร์ต่าง ๆ ได้เอง มีระบบการทำงานที่เรียกว่า Plug and Play และมีหน้าจอที่สวยงาม รองรับการใช้งาน ทางด้านอินเตอร์เน็ต และระบบมัลติมีเดีย ได้เป็นอย่างดีให้ทดลองเปิดเครื่อง จะเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ Windows โดยอัตโนมัติ

ลักษณะการทำงานของระบบปฏิบัติการ

          1. ระบบคนเดียว  (Single  User) ใช้ในเครื่อง PC ที่มีผู้ใช้คนเดียวในเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น DOS (Disk Operating System)  ซึ่งระบบ DOS เป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท IBM เพื่อให้เป็ระบบปฏิบัติการสําหรับเครื่องพีซี ซึ่งตัวโปรแกรม DOS จะถูก Load หรืออ่านจากแผ่นดิสก์เข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจําก่อน จากนั้น DOS จะไปทําหน้าที่เป็น ผู้ประสานงานต่าง ๆ ระหว่างผู้ใช้กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งหลายโดยอัตโนมัติ โดยที่ DOS จะรับคําสั่งจากผู้ใช้หรือโปรแกรมแล้ว นําไปปฏิบัติตาม โดยการทํางานจะเป็นแบบ Text mode สั่งงานโดยการกดคําสั่งเข้าไปที่ซีพร็อม (C:\>)ดังนั้น ผู้ใช้ระบบนี้จึงต้องจําคําสั่งต่าง ๆ ในการใช้งานจึงจะสามารถใช้งานได้ ระบบปฏิบัติการ DOS ถือได้ว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่เก่าแก่. และปัจจุบันนี้มีการใช้งานน้อยมาก
          2. ระบบ Multiprogramming เป็นระบบที่มีผู้ใช้หลายคนในเวลาเดียวกัน เช่น Unix , Linux ซึ่ง Unix  เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้บนเครื่อง SUN ของบริษัท SUN Microsystems แต่ไม่ได้เป็นคู่แข่งกับบริษัท Microsoft ในเรื่องของระบบปฏิบัติการบนเครื่อง PC แต่อย่างใด แต่Unix เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้เทคโนโลยีแบบเปิด (Open system) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้อง ผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่งหรืออุปกรณ์ยี่ห้อเดียวกัน นอกจากนี้ Unix ยังถูกออกแบบมาเพื่อ ตอบสนองการใช้งานในลักษณะให้มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกัน เรียกว่า ระบบหลายผู้ใช้ (Multiuser system)
          3. ระบบ  Multitasking  เป็นระบบที่คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หลายงานในเวลาเดียวกัน  เป็นหลักการในแนวเดียวกับระบบ  Multiprogramming  เช่น  Windows  ซึ่ง Windows เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดยบริษัท Microsoft ซึ่งจะมีส่วนติดต่อกับ ผู้ใช้ (User interface) เป็นแบบกราฟิก หรือเป็นระบบที่ใช้รูปภาพแทนคําสั่ง เรียกว่า GUI (Graphic User Interface) โดยสามารถสั่งให้เครื่องทํางานได้โดยใช้เมาส์คลิกที่สัญลักษณ์หรือคลิกที่คําสั่งที่ต้องการ ระบบนี้อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถใช้งานโปรแกรมได้มากกว่า 1 โปรแกรมในขณะเดียวกันซึ่งถ้าเป็นระบบ DOS หากต้องการเปลี่ยนไปทํางานโปรแกรมอื่น ๆ จะต้องออกจาก โปรแกรมเดิมก่อนจึงจะสามารถไปใช้งานโปรแกรมอื่น ๆ ได้ ในลักษณะการทํางานของ Windows จะมีส่วนที่เรียกว่า หน้าต่างโดยแต่ละโปรแกรมจะถือเป็นหน้าต่างหนึ่งหน้าต่าง ผู้ใช้สามารถ สลับไปมาระหว่างแต่ละหน้าต่างได้ นอกจากนี้ระบบ Windows ยังให้โปรแกรมต่าง ๆ สามารถ แชร์ข้อมูลระหว่างกันได้ผ่านทางคลิปบอร์ด (Clipboard) ระบบ Windows ทําให้ผู้ใช้ ทั่ว ๆไปสามารถทําความเข้าใจ เรียนรู้และใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น
          4. ระบบเครือข่าย  (Networking)  เป็นระบบที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องเชื่อมโยงส่งข้อมูลให้กันและกัน  และยังสามารถทำงานประสานกันได้เช่น  NOS (network  Operating  System)
                 
                     รูปลักษณะการทำงานแบบเครือข่าย


หน้าที่ของระบบปฏิบัติการ
          ระบบปฏิบัติการจะอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ในลักษณะที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบกลไกการทำงาน  หรือฮาร์ดแวร์ของระบบ  แบ่งออกได้ดังนี้

1. ติดต่อกับผู้ใช้ (User  Interface)
คือ ผู้ที่ใช้สามารถที่จะติดต่อหรือควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านทางด้านระบบปฏิบัติการ โดยที่ระบบปฏิบัติการนั้นจะส่งข้อความตอบโต้ไปยังผู้ใช้เพื่อที่จะให้ผู้ใช้ป้อนคำสั่งหรือสั่งการด้วยอุปกรณ์รับข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างโปรมแกรมประยุกต์ต่างๆ เพื่อติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ขณะที่เราใช้งานด้วย

                
   รูปแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระบบปฏิบัติการ ฮาร์ดแวร์ โปรแกรมประยุกต์และผู้ใช้

2. ควบคุมดูแลอุปกรณ์และการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
เนื่องจากผู้ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านทางระบบปฏิบัติการ อาจไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจถึงหลักการทำงานภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้นระบบปฏิบัติการจึงต้องมีหน้าที่ควบคุมดูแลการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ  เพื่อให้การทำงานของระบบเป็นไปได้อย่างถูกต้อง และสอดคล้อง
3. จัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ในระบบทรัพยากร  (Resource) 
 คือ สิ่งที่ถูกใช้ไปเพื่อให้โปรแกรมดำเนินต่อไปได้  เช่น  หน่วยประมวลผล (CPU) หน่วยความจำ (Memory) อุปกรณ์รับและแสดงผลข้อมูล  (Input/Output) 
 ดังนั้น  ระบบปฏิบัติการจะต้องจัดสรรทรัพยากรเหล่านี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ถ้าระบบปฏิบัติการสามารถจักสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพแล้ว การทำงานของโปรแกรมต่าง ๆ ก็สามารถทำให้ได้รวดเร็ว และได้ปริมาณงานเพิ่มขึ้นด้วย
 ระบบปฏิบัติการรุ่นต่างๆ
ระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ตั้งแต่แรกเริ่มมาจนถึงปัจจุบันนี้มีหลาย ๆ ตัวในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงระบบปฏิบัติที่มีใช้กันอยู่โดยเริ่มจากระบบปฏิบัติการที่ชื่อ MS-DOS ก่อน
1. ระบบปฏิบัติการ  MS-DOS  (Microsoft-Disk  Operating  System)ระบบปฏิบัติการ  MS-DOS  ของบริษัทไมโครซอฟต์ที่ใช้ในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์  เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นเก่า ๆ ถ้าผู้ใช้ต้องการใช้งานจำเป็นต้องรู้จักและใช้คำสั่งต่าง ๆ  เป็น  เนื่องจากต้องป้อนคำสั่งให้คอมพิวเตอร์โดยตรงจากแป้นพิมพ์  ถ้าผู้ใช้ไม่รู้จักคำสั่งหรือจำไม่ได้  ก็ไม่สามารถใช้งานได้เลย
คำำสั่งของ  DOS 
คำสั่งที่สามารถใช้ในระบบปฏิบัติการ  DOS  แบ่งออกเป็น  2  ประเภท  คือ
 1. คำำสั่งภายใน  (Internal  Command)  เป็นคำำสั่งที่อยู่ในระบบของ  DOS  อยู่แล้ว  โดยหลังจากที่โปรแกรมเริ่มทำงานแล้วหรือเริ่มจากที่เราเปิดเครื่อง  คำำสั่งต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำหลักของเครื่อง
2. คำำสั่งภายนอก(External  Command)  เป็นคำำสั่งที่อยู่นอกระบบ DOS โดยจะถูกเก็บไว้ในลักษณะของไฟล์คำำสั่งในดิสก์  ถ้าต้องการใช้คำำสั่งเหล่านี้ จำำเป็นต้องมีคำำสั่งต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ในดิสก์ด้วย เช่น คำำสั่ง                                 FORMAT คือ คำำสั่งที่ใช้สำำหรับจัดเตรียมดิสก์ใหม่ให้ถูกต้องตามระบบก่อนนำำไปใช้ งาน (บันทึกข้อมูลใหม่)                                        DISKCOPY คือ คำำสั่งที่ใช้สำำหรับคัดลอกข้อมูลทั้งหมดจากแผ่นดิสก์แผ่นหนึ่งไปยังอีกแผ่นหนึ่ง                                                  CHKDSK คือ คำำสั่งที่ใช้สำำหรับตรวจสอบดิสก์เก็บข้อมูล  และให้รายงานความผิดพลาดออกมาทางจอภาพ
                 

                  รูปแสดงการทำ้งานระบบปฏิบัติการ Ms-DOS 

2. ระบบปฏิบัติการวินโดร์ (Windows)
ระบบปฏิบัติการวินโดร์เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้รูปภาพ  สัญลักษณ์  ในการติต่อกับผู้ใช้งาน (Graphics User Interface : GUI) ผู้ใช้สามารใช้งานผ่านรูปภาพหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ  โดยใช้เมาส์เป็นอุปกรณ์รับข้อมูล  ทำให้มีความสะดวกต่อการใช้งานระบบปฏิบัติการนี้จะกล่าวถึงโดยละเอียดในบทต่อไป
3. ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ (Unix)
ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่มีการทำงานกับผู้ใช้หลายคนกับข้อมูลหลายไฟล์ในเวลาเดียวกัน (Multitasking / Multi User) ซึ่งนิยมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย  (Work  Station)  ในระบบเครือข่าย
4. ระบบปฏิบัติการ  OS / 2
ระบบปฏิบัติการ  OS / 2 พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือกันระหว่างบริษัทไอบีเอ็มกับบริษัทไมโครซอฟต์ เพื่อนำไปใช้กับเครื่อง PS/2 ของบริษัท  IBM
5. ระบบปฏิบัติการ Apple OS หรือ Multifinder
ระบบปฏิบัติการ Apple OS หรือ Multifinder ใช้กับเครื่องแมคอินทอชของบริษัท Apple ซึ่งเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่นิยมนำมาใช้ในงานด้านออกแบบสิ่งพิมพ์
6. ระบบปฏิบัติการ MVS
ระบบปฏิบัติการ MVS เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยบริษัท IBM
7. ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ (Linux)
ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ได้ถูกสร้างขึ้นโดยนำต้นแบบมาจากระบบปฏิบัติการยูนิกซ์โดยนายลีนัส โทรวัลด์ส (Linus  Trovalds) ชาวฟินแลนด์ ซึ่งเขาต้องการพัฒนาให้มีความสามารถมากกว่าระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ที่เขาเคยใช้อยู่                         ลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันโดยเฉพาะในระบบเครือข่าย  (Networking)  เนื่องจากเป็นระบบปฏิบัติการที่เปิดเผยชอร์สโค้ด (Open  Sourcw  Code)  ซึ่งผู้ใช้สามารถนำมาใช้และพัฒนาได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อโปรแกรมลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
ในปัจจุบันระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยคนไทยแล้ว  และคงจะเป็นที่แพร่หลายในอนาคตอันใกล้นี้
คุณสมบัติของลีนุกซ์ ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์มีคุณสมบัติที่เด่นกว่าระบบปฏิบัติการอื่น ๆ ดังนี้
1. มัลติทาสกิ้ง (Multi-tasking) เป็นคุณสมบัติที่สามารถใช้งานหรือทำงานหลายงานในเวลาเดียวกันได้อย่างดี
2. มัลติยูสเซอร์ (Multi-user) เป็นคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานได้พร้อม ๆ กัน หลาย ๆ คนได้

การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์
         รายละเอียดในส่วนนี้จะกล่าวถึงการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์  ปุ่มควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์  รวมไปถึงการเริ่มต้นการทำงานเมื่อเปิดสวิตซ์คอมพิวเตอร์

         เริ่มต้นการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
         จากความรู้ที่ผ่านมาเราได้ทราบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง  จำเป็นต้องอาศัยโปรแกรมหรือชุดคำสั่ง และโปรแกรมตัวหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญในกรที่จะควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำงานำได้อีกคือ โปรแกรมระบบ ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนที่สำคัญดังนี้

         1. ระบบปฏิบัติการรับ - ส่งข้อมูลพืนฐาน  (BIOS : Basic  Input / Output System) โดยทั่วไป BIOS หรือไบออส จะทำำหน้าที่ควบคุมการทำำงานของระบบ เช่น การรับ - ส่งสัญญาณควบคุมต่าง ๆ รวมไปถึงการรับส่งข้อมูล  ตรวจสอบและแสดงสถานะการทำงานของอุปกรณ์รอบข้างให้มีการทำำงานที่สอดคล้องกัน ซึ่งลักษณะการทำงานดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อเราเริ่มต้นเปิดสวิตช์เครื่องคอมพิวเตอร์
          2. ระบบปฏิบัติการเกี่ยวกับแฟ้มข้อมูลและดิสก์ มีหน้าที่หลักในการจัดการเกี่ยวกับแฟ้มข้อมูล ซึ่งจัดเก็บอยู่บนดิสก์ต่างๆ เช่น การควบคุมการรับ-ส่งแฟ้มข้อมูลระหว่างตัวเครื่องกับส่วนควบคุม การอ่านเขียนแผ่นดิสก์ิ (Disk-Drive) เช่น การขอดูรายชื่อแฟ้มข้อมูล การจัดเก็บแฟ้มข้อมูล การลบ และการเปลี่ยนชื่อแฟ้มข้อมูล
          เริ่มต้นการทำงานด้วยวิธีต่างๆ
          การเริ่มต้นการทำำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ การติดต่อระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ และมีระบบปฏิบัติการเป็นตัวกลาง แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
          1. Cool Boot หมายถึง กระบวนการทำำงานโดยเริ่มจากาารเปิดสวิตช์เครื่องคอมพิวเตอร์ให้เริ่มทำำงาน           
          2. Warm Boot หมายถึง กระบวนการทำำงานที่จะเกิดขึ้นขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์เปิดงานใช้อญุ่แล้ว แต่อาจจะเกิดปัญหาขึ้น เช่น โปรแกรมที่กำำลังทำำงานอยู่หยุดทำำงานโดยกระทันหัน เป็นต้น สามารถทำำได้ 2 วิธีด้วยกัน คือ
              2.1 การกดปุ่ม Reset ที่หน้าตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะเป็นผลทำำให้เครื่องคอมพิวเตอร์หยุดการทำำงานทุกอย่าง แล้วเริ่มต้นทำำงานใหม่ตั้งแต่ต้น
              2.2 การกดแป้นพิมพ์ Ctrl + Alt + Del พร้อมกันแล้วปล่อย ในระบบปฏิบัติการ Windows การกระทำำำดังกล่าว เครื่องพิวเตอร์จะแสดงหน้าต่างให้เลือกการทำำงาน เช่น จบโปรแกรม (End Task) ปิดเครื่อง (Shut Down) หรือยกเลิก (Cancel) ซึ่งจะแตกต่างจากระบบปฏิบัติการดอส ซึ่งจะรีเซตเครื่องทันทีทำำำให้ผู้ใช้ไม่มีโอกาสเลือกการทำำงานดังกล่าวได้

ที่มา  : หนังสือคอมพิวเตอร์ เพื่องานอาชีพ 2001-0001 สำนักพิมพ์สกายบุ๊กส์ จำำกัด
ที่มา  :   http://www.geocities.com/ourbenja/comx01.htm
     :  http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~hsoraj/net/OS1.html


การแบ่งประเภทคอมพิวเตอร์

                     
       การแบ่งประเภทคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์สามารถนำไปใช้งานด้านต่างๆ อย่างแพร่หลายดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้งานด้านต่างๆ ย่อมมีวัตถุประสงค์ โครงสร้าง และปริมาณที่แตกต่างกัน เช่น งานวิจัยเพื่อส่งยานอวกาศออกไปนอกโลก หรืองานของธนาคารที่มีสาขาทั่วไป หรืองานคุมสินค้าคงคลังของห้างสรรพสินค้า หรืองานฝึกอบรมคณิตศาสตร์สำหรับเด็กประถมศึกษา หรืองานผลิตหนังสือพิมพ์ในมหาวิทยาลัย เป็นต้น ทำให้มีการผลิตคอมพิวเตอร์ออกมาให้มีขนาดและความสามารถรวมทั้งราคาอย่างเหมาะสมกับงานด้านต่างๆ ซึ่งการแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์นี้พิจารณาจากสรรถนะของหน่วยประมวลผลกลาง ความรู้ของหน่วยความจำ และคุณสมบัติประกอบอื่นๆ

          คอมพิวเตอร์ที่มีการใช้งานมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้        

1. แบ่งตามลักษณะการประมวลผล      

2. แบ่งตามขนาดและความสามรถของเครื่อง          

3. แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน


ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามหลักการประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่แบ่งตามลักษณะการประมวลผลนั้น จะหมายถึงการแบ่งตามสัญญาณข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลนั่นเอง จำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ

          1. คอมพิวเตอร์แบบแอนะล็อก (Analog Computer) หมายถึง เครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการวัด (Measuring Principle) ทำงานโดยใช้ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง (Continuous Data) แสดงออกมาในลักษณะสัญญาณที่เรียกว่า Analog Signal เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มักแสดงผลด้วยสเกลหน้าปัดและเข็มชี้ เช่น การวัดค่าความยาว โดยเปรียบเทียบกับสเกลบนไม้บรรทัด การวัดค่าความร้อนจากการขยายตัวของปรอทเปรียบเทียบกับสเกลข้างหลอดแก้ว นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของ Analog Computer ที่ใช้การประมวลผลแบบเป็นขั้นตอน เช่น เครื่องวัดปริมาณการใช้น้ำด้วยมาตรวัดน้ำที่เปลี่ยนการไหลของน้ำให้เป็นตัวเลขแสดงปริมาณ อุปกรณ์วัดความเร็วของรถยนต์ในลักษณะเข็มชี้ หรือเครื่องตรวจคลื่นสมองที่แสดงผลเป็นรูปกราฟ เป็นต้น

                                           รูปแสดงสัญญาณแบบแอนะลอก

          2. คอมพิวเตอร์แบบดิจิทัล (Digital Computer) ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการทำงานทั่วๆ ไปนั่นเอง เป็นเครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการนับ ทำงานกับข้อมูลที่มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Data) ในลักษณะของสัญญาณไฟฟ้า หรือ Digital Signal อาศัยการนับสัญญาณข้อมูลที่เป็นจังหวะด้วยตัวนับ (Counter) ภายใต้ระบบฐานเวลา (Clock Time) มาตรฐาน ทำให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าเชื่อถือ ทั้งสามารถนับข้อมูลให้ค่าความละเอียดสูง เช่นแสดงผลลัพธ์เป็นทศนิยมได้หลายตำแหน่ง เป็นต้น

                

                    รูปแสดงสัญญาณแบบดิจิตอล

          3. คอมพิวเตอร์แบบลูกผสม (Hybrid Computer)

เครื่องประมวลผลข้อมูลที่อาศัยเทคนิคการทำงานแบบผสมผสาน ระหว่าง Analog Computer และ Digital Computer โดยทั่วไปมักใช้ในงานเฉพาะกิจ โดยเฉพาะงานด้านวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ในยานอวกาศ ที่ใช้ Analog Computer ควบคุมการหมุนของตัวยาน และใช้ Digital Computer ในการคำนวณระยะทาง เป็นต้น

การทำงานแบบผสมผสานของคอมพิวเตอร์ชนิดนี้ ยังคงจำเป็นต้องอาศัยตัวเปลี่ยนสัญญาณ (Converter) เช่นเดิม

ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามขนาดปละความสามารถของเครื่อง
         จำแนกออกได้เป็น 4 ชนิด โดยพิจารณาจาก ความสามารถในการเก็บข้อมูล และ ความเร็วในการประมวลผล เป็นหลัก ดังนี้

          1. ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความสามารถในการประมวลผลสูงที่สุด โดยทั่วไปสร้างขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่องานด้านวิทยาศาสตร์ที่ต้องการการประมวลผลซับซ้อน และต้องการความเร็วสูง เช่น งานวิจัยขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศสหรัฐ (NASA) งานสื่อสารดาวเทียม หรืองานพยากรณ์อากาศ เป็นต้น
                  
2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีส่วนความจำและความเร็วน้อยลง สามารถใช้ข้อมูลและคำสั่งของเครื่องรุ่นอื่นในตระกูล (Family) เดียวกันได้ โดยไม่ต้องดัดแปลงแก้ไขใดๆ นอกจากนั้นยังสามารถทำงานในระบบเครือข่าย (Network) ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ที่เรียกว่า เครื่องปลายทาง (Terminal) จำนวนมากได้ สามารถทำงานได้พร้อมกันหลายงาน (Multi Tasking) และใช้งานได้พร้อมกันหลายคน (Multi User) ปกติเครื่องชนิดนี้นิยมใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่ มีราคาตั้งแต่สิบล้านบาทไปจนถึงหลายร้อยล้านบาท ตัวอย่างของเครื่องเมนเฟรมที่ใช้กันแพร่หลายก็คือ คอมพิวเตอร์ของธนาคารที่เชื่อมต่อไปยังตู้ ATM และสาขาของธนาคารทั่วประเทศนั่นเอง 

                  


3. มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer) 

ธุรกิจและหน่วยงานที่มีขนาดเล็กไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ขนาดเมนเฟรมซึ่งมีราคาแพง ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จึงพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีขนาดเล็กและมีราคาถูกลง เรียกว่า เครื่องมินิคอมพิวเตอร์ โดยมีลักษณะพิเศษในการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ประกอบรอบข้างที่มีความเร็วสูงได้ มีการใช้แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้อมูล สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานและบริษัทที่ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดนี้ ได้แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ


4.ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก มีส่วนของหน่วยความจำและความเร็วในการประมวลผลน้อยที่สุด สามารถใช้งานได้ด้วยคนเดียว จึงมักถูกเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC) ปัจจุบัน ไมโครคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงกว่าในสมัยก่อนมาก อาจเท่ากับหรือมากกว่าเครื่องเมนเฟรมในยุคก่อน นอกจากนั้นยังราคาถูกลงมาก ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมใช้มาก ทั้งตามหน่วยงานและบริษัทห้างร้าน ตลอดจนตามโรงเรียน สถานศึกษา และบ้านเรือน บริษัทที่ผลิตไมโครคอมพิวเตอร์ออกจำหน่ายจนประสบความสำเร็จเป็นบริษัทแรก คือ บริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์
เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ จำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 

แบบติดตั้งใช้งานอยู่กับที่บนโต๊ะทำงาน (Desktop Computer)                แบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถพกพาติดตัว อาศัยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จากภายนอก ส่วนใหญ่มักเรียกตามลักษณะของการใช้งานว่า Laptop Computer หรือ Notebook Computer

ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน  คอมพิวเตอร์ประเภทนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานเฉพาะในด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติมเพื่อวัตถุประสงค์ของงานนั้นๆ ขึ้นมาอีก จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ

          1. เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานเฉพาะกิจ (Special Purpose Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่ถูกออกแบบตัวเครื่องและโปรแกรมควบคุม ให้ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะ (Inflexible) โดยทั่วไปมักใช้ในงานควบคุม หรืองานอุตสาหกรรมที่เน้นการประมวลผลแบบรวดเร็ว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ควบคุมลิฟท์ หรือคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบอัตโนมัติในรถยนต์ เป็นต้น
           
         2. เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานอเนกประสงค์ (General Purpose Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน (Flexible) โดยได้รับการออกแบบให้สามารถประยุกต์ใช้ในงานประเภทต่างๆ ได้โดยสะดวก โดยระบบจะทำงานตามคำสั่งในโปรแกรมที่เขียนขึ้นมา และเมื่อผู้ใช้ต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานอะไร ก็เพียงแต่ออกคำสั่งเรียกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งาน โดยเราสามารถเก็บโปรแกรมไว้หลายโปรแกรมในเครื่องเดียวกันได้ เช่น ในขณะหนึ่งเราอาจใช้เครื่องนี้ในงานประมวลผลเกี่ยวกับระบบบัญชี และในขณะหนึ่งก็สามารถใช้ในการออกเช็คเงินเดือนได้ เป็นต้น


ที่มา:  http://www.thaiwbi.com/course/Intro_com/Intro_com/wbi1/hie/page31.htm

 :  http://armka2518.exteen.com/20090116/entry-2

 :  หนังสือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สำนักพิมพ์แม็ค จำำกัด         : หนังสือคอมพิวเตอร์ เพื่องานอาชีพ 2001-0001 สำนักพิมพ์สกายบุ๊กส์ จำำกัด 

 http://www.thaiwbi.com/course/Intro_com/Intro_com/wbi1/hie/page32.htm
  :  http://www.oknation.net/blog/print.php?id=439392
  :  http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=nkr2008&id=118

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์

         คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ คอมพิวเตอร์มีจุดเด่นคือ สามารถคิดคำนวณตัวเลขจำนวนมากได้รวดเร็วและแม่นยำำ  การคิดคำำนวณและจัดการข้อมูลทำได้รวดเร็ว นอกจากนี้คอมพิวเตอร์ยังสามารถเก็บข้อมูลได้มาก  เมื่อจัดเก็บแล้วสามารถเรียกค้น หรือคัดแยกได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว โดยที่การดำำเนินการต่างๆ  จะเป็นไปตามเงื่อนไขที่โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์กำำหนดไว้

          คอมพิวเตอร์ทำำงานตามชุดคำำสั่งหรือโปรแกรม ตามหลักการที่จอห์น วอน นอยแมน  เสนอและใช้กันมาจนถึงปัจจุบันคือ คอมพิวเตอร์มีหน่วยความจำำำสำำหรับเก็บซอฟต์แวร์และข้อมูล  การทำำงานของคอมพิวเตอร์จะ

รูปส่วนประกอบพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์

การทำงานของคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยหน่วยสำคัญ 5 หน่วย คือ      

 1. หน่วยรับข้อมูล ทำหน้าที่รับข้อมูลเข้ามาเก็บไว้ในหน่วยความจำำแล้วนำำมา            ประมวลผล หรือเก็บไว้ในหน่วยความจำำรอง      

 2. หน่วยความจำำหลักเป็นหน่วยสำำหรับเก็บข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการ 

ประมวลผลซึ่งหน่วยประมวลผลกลางสามารถอ่านเขียนจากหน่วยความจำำหลักรวดเร็วมาก

ทำำให้หน่วยประมวลผลกลางนำมาตีความและกระทำำตามได้อย่างรวดเร็ว      

 3. หน่วยประมวลผลกลาง ทำำหน้าที่ในการคิดคำำนวณหรือประมวลผลข้อมูล         โดยทำตามโปรแกรมที่เก็บไว้ในหน่วยความจำำหลัก
 4. หน่วยส่งออก เป็นหน่วยที่นำำข้อมูลที่ได้รับการประมวลผลแล้วมาแสดงผล    

   หรือเก็บไว้ในหน่วยความจำำรอง
 5. หน่วยความจำำรอง มีไว้สำำหรับเก็บข้อมูลหรือซอฟต์แวร์ที่มีจำำนวนมาก   
    และต้องการนำำมาใช้อีกในภายหลังหากจะใช้งานก็มีการโอนถ่ายจากหน่วย 
 ความจำำรองมายังหน่วยความจำำหลัก 

หน่วยรับข้อมูล

    จากรูปแบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ หน่วยรับเข้าเป็นอุปกรณ์ที่นำข้อมูล
หรือโปรแกรมเข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจำหลัก และใช้ในการประมวลผล 
อุปกรณ์รับข้อมูลมหลายประเภท  
          1. แผงแป้นอักขระ (keyboard) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูล
โดยรับข้อมูลจากการกดแป้นบนแผงแป้นอักขระแล้วส่งรหัสให้กับคอมพิวเตอร์ 
แผงแป้นอักขระมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากในขณะนี้มีจำนวนแป้น 103 แป้น 
ถึงแม้จะมีจำนวนแป้นมากแล้ว แต่การป้อนข้อมูลก็ยังมีตัวยกแคร่ (shift)
สำหรับใช้ควบคู่กับตัวอักษรอื่น เช่น กดแป้น shift เพื่อเลือกตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเล็ก
หรือตัวใหญ่ แผงแป้นอักขระที่ใช้ในประเทศไทยสามารถใช้พิมพ์ตัวอักษรภาษาไทยได้
 การที่รับข้อมูลภาษาไทยได้เนื่องจากมการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ทำงานภาษาไทยได้  

                   

2. เมาส์ (mouse) แทร็กบอล (trackball) และก้านควบคุม (joystick) 

 การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน จะเน้นให้ผู้ใช้ใช้งานได้ง่าย
จึงมีการพัฒนาอุปกรณ์รับเข้าที่เหมาะสมกับโปรแกรม เช่น เมาส์ แทร็กบอล
 และก้านควบคุม ซึ่งสามารถเลื่อนตัวชี้ไปบนจอแล้วเลือกสิ่งที่ต้องการได้  
   


  - เมาส์ เป็นอุปกรณ์รับเข้าที่สามารถเลื่อนตัวชี้ไปยังตำำแหน่งที่ 
ต้องการบนจอภาพมีลักษณะเป็นปุ่มกดครอบอยู่กับลูกกลมที่เมื่อลาก
ไปกับพื้นแล้ว จะมีการส่งสัญญาณตามแนวแกน x และแกน y
เข้าสู่คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันเมาส์มีหลายรูปแบบให้ผู้ใช้สามารถเลือก
ได้ตามความต้องการ  
- แทร็กบอลคือลูกกลมที่กลิ้งไปมาวางอยู่ในเบ้าผู้ใช้สามารถ
บังคับลูกกลมให้หมุนไปมาเพื่อควบคุมการทำงานของตัวชี้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน
มีการสร้างแทรกบอลไว้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊ค เพราะสะดวกต่อการใช้ 
และใช้พื้นที่น้อย

    - ก้านควบคุมมีลักษณะเป็นก้านโยกซึ่งโยกได้หลายทิศทางขณะที่โยกก้านไปมาตำำแหน่ง
ของตัวชี้จะเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์
 ก้านควบคุมมักเป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้กันมากในการเล่นเกม

       3. เครื่องกราดตรวจ (scanner)  เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยี
ของการผ่านแสง เพื่อทำการอ่านรหัสสัญลักษณ์ หรือรูปภาพ แล้วให้คอมพิวเตอร์นำำ
ไปประมวลผลต่อเครื่องกราดตรวจช่วยให้การรับข้อมูลทำได้รวดเร็วกว่าการกดแป้นบนแผงแป้น
อักขระอีกทั้งยังลดข้อผิดพลาดอันอาจเกิดจากการกดแป้นอีกด้วยเครื่องกราดตรวจที่นิยมใช้กัน
อยู่ทั่วๆ ไปได้แก่  

  -เครื่องกราดตรวจรายหน้า (page scanner)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้อ่านรูปภาพหรือตัวหนังสือ เช่น
 รูปถ่าย และ สัญลักษณ์ต่างๆ เป็นต้น    

     - เครื่องอ่านรหัสแท่ง (barcode reader ) 
เป็นอุปกรณ์รับเข้าที่ใช้สำหรับอ่านรหัสแท่ง
 (bar code) ซึ่งเป็นแถบเส้นที่ประกอบด้วยเส้นขนาด
แตกต่างกันใช้แทนรหัสข้อมูลต่างๆการอ่านจะใช้แสงส่อง
แถบเส้นทำให้เกิดการสะท้อนเพื่อรับรหัสเข้ามาตีความหาย ปัจจุบันนิยมใช้ในห้างสรรพสินค้า สินค้าทุกชนิดจะติดรหัสแท่งไว้ ผู้ขายใช้เครื่องอ่านรหัสแท่ง
เพื่อจะได้ทราบว่าเป็นรหัสของสินค้าใดราคาเท่าใดและสามารถออกใบเสร็จรับเงิน
ให้ได้อย่างอัตโนมัติ  

   - เครื่องอ่านอักขระหมึกแม่เหล็ก (Magnetic-Ink Character Recognition:
 MICR) ที่พบเห็นได้บ่อยครั้งคือเครื่องอ่านตัวเลขที่พิมพ์อยู่บนตั๋วสัญญาใช้เงิน
ตัวเลขเหล่านี้มีลักษณะพิเศษที่ทำให้เครื่องอ่านได้ เนื่องจากแต่ละวันธนาคารต้องรับและออก
ตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นจำำนวนมากจึงมีการใช้เครื่องอ่านตัวเลขช่วยในการอ่านหรือเครื่องอ่าน
ตัวเลขที่สำำนักงาน ไปรษณีย์ใช้เพื่อช่วยแยกจดหมายตามรหัสไปรษณีย์  
    - จอสัมผัส (touch screen) สามารถเป็นได้ทั้งหน่วยรับเข้าและหน่วยส่งออก 
จอภาพสามารถรับข้อมูลไปประมวลผลได้โดยการสัมผัสบนบริเวณจอภาพบริเวณจอภาพ
ของจอสัมผัสประกอบด้วยตาข่ายของลำแสงอินฟาเรดเมื่อมีวัตถุมาสัมผัสบนจอภาพจะมีการส่ง
สัญญาณไฟฟ้าซึ่งสามารถระบุตำแหน่งบนจอภาพให้กับโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่ได้
การใช้งานจอสัมผัสมีความสะดวก แต่อาจผิดพลาดจากการระบุตำแหน่งบนจอภาพ 
ถ้าตำแหน่งบนจอภาพมีขนาดเล็กเกินไป จอสัมผัสประยุกต์ใช้กับงานหลายอย่าง เช่น
 การจองตั๋วชมภาพยนตร์ การจองที่นั่งเพื่อรับประทานอาหาร

      - กล้องถ่ายภาพดิจิตรอน สามารถถ่ายภาพและบันทึกไว้ในหน่วยความจำภายใน
ตัวกล้อง จากนั้นสามารถส่งข้อมูลภาพเข้าสู่คอมพิวเตอร์ได้อุปกรณ์รับเข้ายังมีอีกหลายชนิดตาม
พัฒนาการทางเทคโนโลยี ทั้งนี้เพื่อให้การรับข้อมูลเข้าระบบทำได้สะดวก แม่นยำำ
 และสามารถนำไปใช้งานได้ดี ดังตัวอย่างเช่น พนักงานการไฟฟ้า ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์
ขนาดมือถือบันทึกข้อมูลการใช้ไฟที่อ่านจากมิเตอร์ตามบ้านการตรวจข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ก็ใช้เครื่องอ่านข้อมูลคำำตอบของนักเรียน แล้วตรวจให้คะแนนอย่างอัตโนมัติ
การลงทะเบียนเรียนของนักศึกษาบางมหาวิทยาลัยก็ใช้ระบบระบายดินสอดำำลงบนกระดาษ
ตามช่องที่กำำหนดเพื่อให้เครื่องอ่านได้ และนำำไปประมวลผลต่อไป  

 หน่วยความจำำหลัก  

มีหน้าที่เป็นแหล่งเก็บข้อมูลการทำำงานของคอมพิวเตอร์ ซึ่งรวมทั้งตัวคำำสั่งในโปรแกรม

และข้อมูลต่างๆ ที่จะใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ขณะกำำลังทำำงานอยู่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

 ดังนี้  

          1. แรม (Random Access Memory : RAM) 
เป็นหน่วยความจำำที่เก็บข้อมูลสำำหรับใช้งานทั่วไป  การอ้างอิงตำำแหน่งที่อยู่ของข้อมูลใดๆ 
เพื่อการเขียนและการอ่านจะกระทำำแบบการเข้าถึงโดยสุ่มคือ เรียกไปที่ตำำแหน่งที่อยู่ข้อมูลใดก็ได้ หน่วยความจำำนี้เรียกว่า แรม หน่วยความจำำประเภทนี้จะเก็บข้อมูลไว้ตราบเท่าที่มีกระแส
ไฟฟ้ายังจ่ายให้วงจร หากไฟฟ้าดับเมื่อใด ข้อมูลก็จะสูญหายทันที
          เครื่องพีซีคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้ ถ้ามีหน่วยความจำำแรมมากๆ 
จะทำำให้สามารถใช้งานโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ๆ ได้ดีด้วย หน่วยความจำำที่นิยมในปัจจุบัน
จะประมาณ 32, 64, 128, 256 เมกะไบต์ เป็นต้น

                   

2. รอม (Read Only Memory : ROM)
 เป็นหน่วยความจำำอีกประเภทหนึ่งที่มีการอ้างอิงตำแหน่งที่อยู่ข้อมูลแบบเข้าถึงโดย
สุ่มหน่วยความจำำประเภทนี้มีไว้เพื่อบรรจุโปรแกรมสำคัญบางอย่าง เพื่อว่าเมื่อเปิดเครื่องมา
 ซีพียูจะเริ่มต้นทำำงานได้ทันทีข้อมูลหรือโปรแกรมที่เก็บไว้ในรอมจะถูกบันทึกมาก่อนแล้ว 
ผู้ใช้สามารถอ่านข้อมูลได้ แต่ไม่สามารถเขียนข้อมูลใดๆ ลงไปได้ซึ่งข้อมูลหรือโปรแกรม
ที่อยู่ในรอมนี้จะอยู่อย่างถาวร แม้จะปิดเครื่องข้อมูลหรือโปรแกรมก็จะไม่ถูกลบไป
   
               

   ไมโครคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องอาจมีขนาดของหน่วยความจำำหลักแตกต่างกันตามแต่ความต้องการ ปัจจุบันเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์มีหน่วยความจำำที่มีความจุมากขึ้น
 เพื่อให้สามารถบรรจุโปรแกรมขนาดใหญ่ได้ 

 หน่วยประมวลผล

หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู(CPU:Central 
ProcessingUnit)เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโปรเซสเซอร์
(Processor) หรือ ชิป (chip) นับเป็นอุปกรณ์ 
ที่มีความสำคัญมากที่สุดในเครื่องคอมพิวเตอร์์เพราะมีหน้าที่
ป็นสมองของคอมพิวเตอร์ที่สามารถควบคุมการทำำงานของ
คอมพิวเตอร์ คำำนวณ เปรียบเทียบ ตัดสินใจ หน่วยประมวลผลกลาง ประกอบด้วยส่วน
ประสำำคัญ 3 ส่วน คือ

      1. หน่วยคำำนวณและตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit :
 ALU)หน่วยคำำนวณตรรกะทำำหน้าที่เหมือนกับเครื่องคำนวณอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์
โดยทำำงานเกี่ยวข้องกับการคำำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร 
นอกจากนี้หน่วยคำำนวณและตรรกะของคอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่
เครื่องคำำนวณธรรมดาไม่มี คือ ความสามารถในเชิงตรรกะศาสตร์ หมายถึง 
ความสามารถในการเปรียบเทียบตามเงื่อนไข และกฏเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ 
เพื่อให้ได้คำำตอบออกมาว่าเงื่อนไข นั้นเป็น จริง หรือ เท็จ เช่น เปรียบเทียบมากว่า
 น้อยกว่า เท่ากัน ไม่เท่ากัน ของจำำนวน 2 จำำนวน เป็นต้น ซึ่งการเปรียบเทียบนี้มักจะ
ใช้ในการเลือกทำำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำำตามคำำสั่งใดของโปรแกรมเป็น
 คําำสั่งต่อไป

2. หน่วยควบคุม (Control Unit)
       หน่วยควบคุมทำำหน้าที่คงบคุมลำำดับขั้นตอนการการประมวลผลและการทำำงาน
ของอุปกรณ์ต่างๆภายในหน่วยประมวลผลกลางและรวมไปถึงการประสานงานในการทำำงาน
ร่วมกันระหว่างหน่วยประมวลผลกลางกับอุปกรณ์นำำเข้าข้อมูลอุปกรณ์แสดงผลและหน่วยความจำำ
สำำรองด้วยเมื่อผู้ใช้ต้องการประมวลผลตามชุดคำำสั่งใดผู้ใช้จะต้องส่งข้อมูลและชุดคำำสั่งนั้นๆเข้า
สู่ระบบคอมพิวเตอร์เสียก่อนโดยข้อมูลและชุดคำำสั่งดังกล่าวจะถูกนำำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำำ
หลักก่อนจากนั้นหน่วยควบคุมจะดึงคำำสั่งจากชุดคำำสั่งที่มีอยู่ในหน่วยความจำำหลักออกมาทีละคำำสั่ง
เพื่อทำำการแปลความหมายว่าคำำสั่งดังกล่าวสั่งให้ฮาร์ดแวร์ส่วนใดทำำงานอะไรกับข้อมูลตัวใดเมื่อ
ทราบความหมายของ คำำสั่งนั้นแล้ว หน่วยควบคุมก็จะส่ง สัญญาณคำำสั่งไปยังฮาร์แวร์ 
ส่วนที่ทำำหน้าที่ ในการประมวลผลดังกล่าวให้ทำำตามคำำสั่งนั้นๆเช่น ถ้าคำำสั่งที่เข้ามานั้นเป็น
คำำสั่งเกี่ยวกับการคำำนวณหน่วยควบคุมจะส่งสัญญาณคำำสั่งไปยังหน่วยคำำนวณและตรรกะให้
ทำำงานหน่วยคำำนวณและตรรกะก็จะไปทำการดึงข้อมูลจากหน่วยความจำำหลักเข้ามาประมวลผล
ตามคำำสั่งแล้วนำำผลลัพธ์ที่ได้ไปแสดงยังอุปกรณ์แสดงผลหน่วยควบคุมจึงจะส่งสัญญาณคำำสั่ง
ไปยังอุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ที่กำหนดให้ดึงข้อมูลจากหน่วยความจำหลักออกไปแสดงให้เห็นผลลัพธ์
ดังกล่าว อีกต่อหนึ่ง

3. หน่วยความจำำหลัก (Main Memory)
         คอมพิวเตอร์จะสามารถทำำงานได้เมื่อมีข้อมูลและชุดคำำสั่งที่ใช้ในการประมวลผล
อยู่ในหน่วยความจำำหลักเรียบร้อยแล้วเท่านั้นและหลักจากทำำการประมวลผลข้อมูลตามชุดคำำสั่ง
เรียบร้อบแล้วผลลัพธ์ที่ได้จะถูกนำำไปเก็บไว้ที่หน่วยความจำำำำำำำำหลักและก่อนจะถูกนำำออกไปแสดงที่
อุปกรณ์แสดงผลถ้าเปรียบเทียบกับร่างกายของมนุษย์โพรเซสเซอร์ก็น่าจะเปรียบเทียบเป็น
หมือนสมองของมนุษย์นั่งเอง ซึ่งคอยคิดควบคุมการทำำงานส่วนต่างๆของร่างกายดังนั้น
ถ้าจัดระดับความสำำคัญแล้วโพรเซสเซอร์ก็น่าจะมีความสำำคัญเป็นอันดับแรก
  

หน่วยส่งออก  

   หน่วยส่งออก (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ที่ได้จาการประมวลผล 
โดยนำำผลที่ได้ออกมาจากหน่วนความจำหลักแสดงให้ผูใช้ได้รับรู้โดยประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น
 ตา หู หรือแม้กระทั่งการสัมผัสด้วยมือก็ได้ อุปกรณืต่างๆ เหล่านี้ได้แก่

1. จอภาพ (monitor) มีลักษณะเป็นจอภาพเหมือน
จอโทรทัศน์ทั่วไป การส่งออกของข้อมูลจะปรากฏบนจอภาพ
 ซึ่งแสดงได้ทั้งตัวอักษร ตัวเลข เครื่องหมายพิเศษ
 และยังสามารถแสดงรูปภาพได้ด้วย จอภาพ มี 2 แบบคือ
 ซีอาร์ที (Cathode Ray Tube : CRT) ใช้เทคโนโลยี
ของหลอดรังสีอิเล็กตรอนเช่นเดียวกับจอโทรทัศน์ในการทำให้เกิดภาพ และจอแบบแอลซีดี (Liquid Crystral Display : LCD)ใช้เทคโนโลยีของการบรรจุของเหลวไว้ภายในจอเช่น
เดียวกับหน้าปัดนาฬิกาในระบบตัวเลขการแสดงผลบนจอภาพจะแสดงด้วยจุดเล็กๆตามแนวนอน
และแนวตั้งแต่เดิมจอภาพแสดงผลได้เพียงสีเดียวพัฒนาการต่อมาทำให้การแสดงผลเป็นสีหลายสี
ได้นอกจากนี้ยังมีความละเอียดมากขึ้นเช่นจอภาพที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันแสดงผล
ในภาวะกราฟิกได้อย่างน้อยในแนวนอน 800 จุด ในแนวตั้ง 600 จุด และแสดงสีได้ถึง
ล้านสีขนาดของจอภาพจะวัดความยาวตามเส้นทแยงมุมจอภาพโดยทั่วไปจะมีขนาด 15 นิ้ว หรือ
 17 นิ้ว การแสดงผลของจอภาพควบคุมโดยแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งอยู่ภายในเครื่อง
คอมพิวเตอร์

 2. เครื่องพิมพ์ (printer) เครื่องพิมพ์ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์มีหลายประเภทตามเทคโนโลยี
การพิมพ์เครื่องพิมพ์เป็นอุปกรณ์ส่งออกที่พิมพ์ลงบนกระดาษเครื่องพิมพ์ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์
มีดังนี้


- เครื่องพิมพ์แบบจุด (dot matrix printer)
เป็นเครื่องพิมพ์ที่มีหัวยิงเป็นเข็มขนาดเล็ก พุ่งไปชนแผ่นผ้าหมึก
 เพื่อให้หมึกติดบนกระดาษเป็นจุดเล็กๆหลายๆจุดเรียงกันเป็นตัวหนังสือ
หรือรูปภาพหัวเข็มที่ใช้ยิงไปยังผ้าหมึกมีจำนวนหลายหัว โดยปกติใช้ขนาด 24 หัวเข็มซึ่งจัดวางเรียงกันในแนวตั้งทำำให้ได้ตัวหนังสือที่ละเอียดพอควร 
           
- เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (laser printer) 
เป็นเครื่องพิมพ์ที่ให้ความคมชัดและความละเอียดสูงการพิมพ์จะใช้หลักการ
ทางแสงปกติมีความละเอียดไม่น้อยกว่า 600 จุดต่อนิ้วเครื่องพิมพ์เลเซอร์
จึงเป็นเครื่องพิมพ์ที่เหมาะกับงานพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพพัฒนาการทางเทคโนโลยีทำำให้เครื่อง
พิมพ์ชนิดนี้ได้รับความนิยมสูงขึ้นเพราะเมื่อเทียบประสิทธิภาพต่อราคาแล้วเครื่องพิมพ์ชนิดนี้
เหมาะที่จะใช้ในสำำำนักงานแต่ไม่สามารถพิมพ์สำเนากระดาษคาร์บอนได้

- เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (inkjet printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้วิธีการพ่นหมึก
และผสมสีจากแม่สีสามสีคือแดง เหลืองและน้ำเงิน โดยจะผสมสีให้ได้สีตามความต้องการและ
พ่นหมึกเพื่อให้ติดบนกระดาษ

     ในปัจจุบันเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกเป็นที่นิยมกันมาก เนื่องจากสามารถพิมพ์รูปภาพออกมาเป็นสีที่สวยงาม 

3. ลำำโพง (Speaker) 
ลำำโพงทำำหน้าที่แสดงผลออกมาในรูปแบบเสียงซึ่งจะทำำงานรวมกับ
อุปกรณ์การ์ดเสียง(Sound Card)ที่ทำำหน้าที่แปลงสัญญาณ
คอมพิวเตอร์ออกมาเป็นสัญญาณเสียงแล้วส่งออกทางลำำำโพง 
ส่วนมากใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีระบบมัลติมีเดีย

หน่วยความจำำรอง

          หน่วยความจำำรองหรือหน่วยเก็บข้อมูล (Storage) มีหน้าที่ในการเก็บ
ข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ไว้ และสามารถนำำกลับมาใช้งานได้อีกตามต้องการ บางครั้งเรียกว่า
 หน่วยความจำำสำรอง (Secondary Memory) ประกอบด้วย

   1.  แผ่นบันทึก (floppy disk หรือ diskette) 
ไมโครคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มีเครื่องขับแผ่นบันทึกอย่างน้อยหนึ่งตัวแผ่นบันทึกที่ใช้ในปัจจุบัน
มีขนาด 3.5 นิ้ว ตัวแผ่นบันทึกเป็นแผ่นบางฉาบผิวด้วยสารแม่เหล็กอยู่ในกรอบพลาสติก
แข็ง เพื่อป้องกันการขีดข่วน  
          การเก็บข้อมูลจะทำโดยบันทึกลงไปที่ผิวของแผ่น ปกติใช้ได้ทั้งสองด้าน
หัวอ่านของเครื่องขับจึงมีสองหัว แผ่นจะหมุนด้วยความเร็วคงที่ หัวอ่านวิ่งเข้าออกเพื่ออ่านข้อมูล
ในตำแหน่งที่อยู่ที่ต้องการ ผิวที่ใช้เก็บข้อมูลจะแบ่งเป็นวงเรียกว่า แทร็ก (track) แต่ละ
แทร็กจะแบ่งเป็นช่องเก็บข้อมูลเรียกว่า เซกเตอร์ (sector) แผ่นบันทึกขนาด 3.5 นิ้ว
 มีความจุ 1.44 เมกะไบต์  

                           

2.  ฮาร์ดดิสก์ (harddisk) จะประกอบด้วยแผ่นบันทึกแบบแข็งที่เคลือบสารแม่เหล็ก
หลายแผ่นเรียงซ้อนกัน  หัวอ่านของเครื่องขับจะมีหลายหัว ในขณะที่แผ่นบันทึกแต่ละแผ่นหมุน หัวอ่านจะเคลื่อนที่เข้าออก เพื่ออ่านข้อมูลที่เก็บบนพื้นผิวแผ่น การเก็บข้อมูลในแต่ละแผ่นจะเป็นวง 
เรียกแต่ละวงของทุกแผ่นว่าไซลินเดอร์  (cylinder)  แต่ละไซลินเดอร์จะแบ่งเป็นเซกเตอร์ แต่ละเซกเตอร์เก็บข้อมูลเป็นชุดๆ  
       ฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่มีความจุสูงมาก ขนาดของฮาร์ดดิสก์มีความจุเป็นกิกะไบต์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ความจุ 15 กิกะไบต์ การเขียนอ่านข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์จะกระทำเป็น
เซกเตอร์ และเขียนอ่านได้เร็วมาก เวลาที่ใช้ในการวัดการเข้าถึงข้อมูลมีหน่วยเป็นมิลลิวินาที  

                        


3.  เทปแม่เหล็ก (magnetic tape) เป็นอุปกรณ์ที่มีการใช้กันมานานแล้ว 

ลักษณะของเทปเป็นแถบสายพลาสติก เคลือบด้วยสารแม่เหล็กเหมือนเทปบันทึกเสียง           เทปแม่เหล็กใช้สำหรับเก็บข้อมูลจำนวนมาก มีการจัดเก็บและเรียกค้นข้อมูลแบบเป็น            ลำำดับ เพราะฉะนั้นการเข้าถึงก็จะเป็นแบบการเข้าถึงโดยลำดับ (sequential access)           เช่น ถ้าต้องการหาข้อมูลที่อยู่ในลำดับที่ 5 บนเทป เราจะต้องอ่านข้อมูลลำดับต้นๆ            ก่อนจนถึงข้อมูลที่เราต้องการ ส่วนการประยุกต์นั้นเน้นสำหรับใช้สำรองข้อมูลเพื่อ           ความมั่นใจเช่น ถ้าฮาร์ดดิสก์เสียหาย ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์อาจสูญหายได้                       จึงจำำเป็นต้องเก็บสำรองข้อมูลไว้ มูลไว้   

 

                        
 4. แผ่นซีดี (Compact Disk : CD ) 
วิวัฒนาการของการใช้หน่วยความจำรองได้ก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับปัจจุบันได้มีการประดิษฐ์แผ่น
ซีดีใช้ในการเก็บข้อมูลจำนวนมากการเก็บข้อมูลบนแผ่นซีดีใช้หลักการทางแสงแผ่นซีดีที่อ่านได้
อย่างเดียว เรียกกันว่า ซีดีรอม(CD- ROM) ข้อมูลที่บันทึกจะถูกบันทึกมาจากโรงงานผู้ผลิต
เหมือนการบันทึกเพลงหรือภาพยนตร์ข้อเด่นของแผ่นซีดีคือ ราคาถูกจุข้อมูลได้มากสามารถเก็บ
ข้อมูลหรือโปรแกรมได้มากกว่า 750 เมกะไบต์ต่อแผ่นแผ่นซีดีมีเส้นผ่านศูนย์กลาง
ประมาณนิ้ว ในปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตแผ่นซีดีได้ก้าวหน้าขึ้นจนสามารถเขียนข้อมูล
บนแผ่นซีดีได้เหมือนฮาร์ดดิสก์เรียกว่า ออปติคัลดิสก์ (optical disk) 
เรียกว่า ออปติคัลดิสก์ (optical disk)

                       

ที่มา:http://www.thaigoodview.com/roomnet/roomnet46/IT46_4/index.html-overview.htm
    :  http://www.student.chula.ac.th/~48438517/1_2.html
    :  http://std.kku.ac.th/4830503191/3-5.html
     : http://thaiup.mine.nu/modules.php?name=News&file=article&sid=23